วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

จะเลือกดื่มนมชนิดไหนดี



จะเลือกดื่มนมชนิดไหนดี


นม เป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่สำคัญทั้งในเด็ก และผู้ใหญ่ และเป็นแหล่งของแร่ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส
ซึ่งจำเป็นในการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง นอกจากนี้นมยังให้วิตามินบี 2 วิตามิน บี 12 รวมทั้งเป็นแหล่งไขมัน
และให้พลังงานได้ นมจึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสุขภาพของคนไทย จะเห็นได้จากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งให้
เพิ่มการผลิต และบริโภคนมมากขึ้น โดยเฉพาะในเด็กวัยเรียน หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ
นมที่ใช้บริโภคในปัจจุบันของบ้านเรา ส่วนใหญ่มาจากน้ำนมโค โดยแบ่งผลิตภัณฑ์นมออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. ผลิตภัณฑ์พาสเจอร์ไรซื
2. ผลิตภัณฑ์สเตอร์ริไรซ์
3. ผลิตภัณฑ์ยูเอชที
4. ผลิตภัณฑ์นมผง

ผลิตภัณฑ์พาสเจอร์ไรซ์

นมสดพาสเจอร์ไรซ์ นิยมบรรจุในขวดพาสติกขุ่น กล่องกระดาษหรือถุงพลาสติก โดยวางจำหน่ายในตู้เย็นหรือ
ตู้แช่ ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส เพื่อไม่ให้นมเสีย เนื่องจากกระบวนการผลิตนมพาสเจอร์ไรซื ใช้อุณหภูมิต่ำ
ประมาณ 72 - 73 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15 วินาที เพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำลาย
เชื้อจุลลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเน่าเสีย กระบวนการนี้จะใช้ความร้อนต่ำที่สุด เพื่อรักษากลิ่น และรสของน้ำนมสดไว้ นมสด
พาสเจอร์ไรซ์ในท้องตลาด บรรจุในภาชนะที่มีสี ซึ่งบอกความหมายที่แตกต่างกัน ดังนี้
- สีน้ำเงิน หรือสีแสด หมายถึง น้ำนมสดธรรมดา มีไขมันต่ำ ร้อยละ 3.3 ขึ้นไป
- สีฟ้า หมายถึง น้ำนมสดพร่องมันเนย มีไขมันประมาณ ร้อยละ 1 - 2
- สีขาว หมายถึง น้ำนมสดขาดมันเนย มีไขมันน้อยมาก ต่ำกว่าร้อยละ 0.1
- สีทอง หมายถึง น้ำนมสด มีไขมันถึงประมาณ ร้อยละ 4

สำหรับเด็กและวัยรุ่น ควรบริโภคชนิดสีน้ำเงิน หรือสีแสด ส่วนผู้ที่มีอายุเกิน 35 ปี หรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
หรือไขมันในเลือด ควรบริโภคชนิดสีฟ้า หรือสีขาว
นอกจากนี้ ยังมีนมสดชนิดปรุงแต่งรสชาติ ซึ่งมีสัญญลักษณ์ ดังนี้
- สีเขียว คือ นามสดรสหวาน
- สีน้ำตาล คือ นมสดรสชอคโกแลต
- สีชมพู คือ นมสดรสสตรอเบอรี่

นมประเภทนี้ จะมีส่วนผสมของนมสดประมาณร้อยละ 95 ที่เหลือคือ น้ำตาล, กลิ่น และสี นอกจากนี้กฏหมายยังไม่
กำหนดปริมาณไขมัน ผู้ผลิตนิยมเติมไขมันในปริมาณเพียงร้อยละ 2 นมชนิดนี้ นิยมใช้ในโครงการอาหารเสริมของ
กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอื่น ๆ ซึ่งมักมีข้อด้อยกว่านมจืด คือ ราคาแพงกว่า มีพลังงานจากไขมันต่ำกว่า
มีน้ำตาลสูงกว่า และมีมาตรฐานของโปรตีนต่ำกว่าเล็กน้อย
ผลิตภัณฑ์สเตอร์ไรซ์

นมสดสเตอร์ไรซ์ มักบรรจุในกระป๋องโลหะปิดสนิท กระบวนการผลิตใช้ความร้อนสูง 110 - 116 องศาเซลเซียส
เวลา 30 นาที เพื่อทำลายเชื้อจุลินทรย์ที่ทำให้เกิดโรค และอาหารเน่าเสียในอุณหภูมิการเก็บรักษาปกติได้ (อุณหภูมิห้องปกติ
เก็บได้ 1 - 2 ปี)

ผลิตภัณฑ์นมสเตอร์ไรซ์ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1. นมสดพร้อมดื่ม คือ นมสดธรรมดาที่บรรจุกระป๋อง ซึ่งฉลากระบุว่าเป็นนมโค 100%
2. นมข้นไม่หวาน คือ นมผงขาดมันเนยละลายน้ำในอัตราส่วนที่น้อยกว่าปริมาณน้ำที่มีในนมสดธรรมดาครึ่งหนึ่ง
แล้วเติมลงไป ถ้าเติมไขมันเนยลงไปเรียกว่า นมข้นคือรูปไม่หวาน ถ้าเติมน้ำมันปาล์มลงไป เรียกว่า นมข้นแปลงไขมัน ชนิดไม่หวาน
นมข้นไม่หวาน เมื่อนำมาบริโภคในรูปของน้ำนมสด ต้องเติมน้ำลงไปในอัตราส่วน 1:1 จะมีคุณค่าในแง่โปรตีน และพลังงาน
ใกล้เคียงกับน้ำนมสดธรรมดา แต่ชนิดที่ใช้น้ำมันปาล์มมีปริมาณกรดไขมันจำเป็น และวิตามินบางชนิดต่ำกว่า จึงไม่สมควรใช้เลี้ยง
ทารก หรือเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
3. นมข้มหวาน มีขั้นตอนการผลิตเริ่มต้นคล้ายนมข้นไม่หวาน คือต้องมีการระเหยน้ำออก หรือละลายนมผงขาดมันเนย
ผสมกับไขมันเนยหรือไขมันปาล์มตามอัตราส่วนดังกล่าว แล้วจึงเติมน้ำตาลลงไปประมาณร้อยละ 45 จะเห็นว่านมข้นหวานมีน้ำตาล
ในปริมาณสูงมาก จึงต้องมีการผสมน้ำในปริมาณมากก่อนบริโภค ทำให้คุณค่าทางโภชนาการโดยเฉพาะโปรตีนจานมจะต่ำกว่า
น้ำนมสดมาก นมข้นหวาน จึงไม่เหมาะสำหรับเลี้ยงทารก หรือใช้เพื่อประโยชน์ในการเสริมคุณค่าอาหารเช่นเดียวกับน้ำนมสดธรรมดา ผลิตภัณฑ์ยูเอชที

น้ำนมสดที่บรรจุในกล่องยูเอชที คือ น้ำนมสดที่ผ่านกระบวนการให้ความร้อนที่สูงมากแต่ใช้เวลาสั้นมาก (130 - 135 องศา
เซลเซียส เวลา 1 - 3 วินาที) จึงทำให้น้ำนมยังมีกลิ่นและรสที่ดี ไม่มีกลิ่นเป็นนมต้ม (ไหม้) เหมือนนมสดสเตอร์ไรซ์ นมสดที่บรรจุใน
กล่องยูเอชที มีอายุการเก็บในสภาพอุณหภูมิปกติได้นาน 6 เดือน สีของกล่องนมมีความหมายเหมือนกับสีที่แสดงอยู่บนขวดหรือกล่อง
นมพาสเจอร์ไรซ์ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์นมยูเอชทีบรรจุในขวดพลาสติก ซึ่งสามารถเก็บที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือนด้วย ผลิตภัณฑ์นมผง

การผลิตนมผง เป็นกระบวนการถนอมรักษานมสด โดยการทำให้เป็นผงแห้ง การแปรรูปเป็นผงโดยการระเหยน้ำส่วนใหญ่ออก
จากน้ำนมสด ทำให้ผลิตภัณฑ์แห้งเป็นผง มีน้ำหนักเบา ประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งและเก็บได้นาน

การเลือกซื้อต้องกระทำความความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำไปเลี้ยงเด็ก นมผงที่เหมาะสำหรับเด็ก คือ นมผงที่ผลิต
จากน้ำนมสดธรรมดาที่เรียกว่า นมผงธรรมดาชนิดละลายได้ทันที ส่วนนมผงที่ผลิตจาน้ำนมขาดมันเนยผสมกับน้ำมันพืช ที่เรียกว่า นมผง
แปลงไขมัน ควรใช้เลี้ยงเด็กอายุตั้งแต่ 2 ปี ขึ้นไป ส่วนนมผงชนิดพร่องมันเนยและขาดมันเนยไม่เหมาะใช้เลี้ยงเด็ก แต่เหมาะสำหรับ
ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำหนักมากหรือไขมันในเลือดสูง

ถ้าจำเป็นต้องใช้นมผงชนิดพร่องมันเนยหรือขาดมันเนยเพื่อเลี้ยงเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป ควรเติมน้ำมันพืชลงไปในปริมาณร้อยละ
3 - 3.5 หลังจากชงนมเสร็จแล้ว

นมผงบรรจุกระป๋องที่ยังไม่ได้เปิดฝา สามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 2 ปี อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดกระป๋องแล้ว ควรเก็บไว้ใน
ที่แห้งและอุณหภูมิไม่สูงมาก หลังจากเปิดใช้แล้ว อายุการเก็บจเส้นมากไม่ควรเกิน 15 วัน - 1 เดือน การดัดแปลง / เสริมสารอาหารในนม

ผลิตภัณฑ์นมที่จำหน่ายในท้องตลาด ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด มักมีการดัดแปลง หรือเสริมสารอาหารเพื่อให้เกิดความหลากหลาย
และประโยชน์ทางการตลาด อย่างไรก็ตามผู้บริโภคก็อาจได้รับประโยชน์เหล่านั้นถ้ารู้จักเลือกชนิดที่เหมาะสม การเสริมสารอาหารที่
พบบ่อยที่สุดได้แก่ การเสริมธาตุแคลเซียม ซึ่งนมพร้อมดื่ม ขนาด 250 มล. ให้แคลเซียมประมาณ 230 - 250 มก. (ร้อยละ 30 ของ
ความต้องการของร่างกายใน 1 วัน) นมที่เสริมแคลเซียมมักให้แคลเซียมเป็นร้อยละ 50 (กฎหมายอนุญาตให้เสริมได้ไม่เกินนี้) นอกจากนี้
ยังมีการเสริมวิตามิน และเกลือแร่บางชนิดในปริมาณที่แตกต่างกัน

ผลิตภัณฑ์นมบางยี่ห้อยังมีการแยกน้ำตาลแลกโตสที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสียในผู้บริโภคที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลชนิดนี้ได้ จึงเหมาะ
สำหรับผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าว เพราะช่วยให้สามารถบริโภคนมได้ตามปกติ

นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์นมที่มีการเสริมสารพรีไบโอติค (prebiotics) ซึ่งระบุบนฉลากว่า prebio สารชนิดนี้ เป็นคาร์โบโฮเดรต
ประเภทหนึ่ง ที่เรียกว่า ฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรซ์ ซึ่งพบในพืชบางชนิด และในน้ำนมแม่ สารชนิดนี้เชื่อกันว่าเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงจุลินทรีย์
ที่มีประโยชน์ ซึ่งอยู่ในลำไส้ของมนุษย์ ดื่มผลิตภัณฑ์นมประเภทใดคุ้มค่าที่สุด

การพิจารณาว่าจะเลือกดื่มนมชนิดไหน ขอให้ดูปัจจัยต่าง ๆ ประกอบกัน นมเป็นแหล่งโปรตีน แคลเซียม และฟอสฟอรัสที่ดี
การดื่มนมจึงมุ่งให้ได้สารอาหารดังกล่าว เป็นสำคัญ สำหรับเด็กไขมันในนมก็สำคัญ ด้วยเพราะเป็นแหล่งพลังงาน ดังนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์
ที่มีไขมันด้วย

นมพาสเจอร์ไรซ์ นมสเตอร์ไรซ์ นมกล่องยูเอชที นมข้นไม่หวาน และนมผง หากมีการใช้ถูกต้อง จะให้สารอาหารหลักที่กล่าวมาแล้ว
ไม่แตกต่างกัน จึงขอให้เลือกตามกำลังทรัพย์ และความสะดวกที่มีอยู่ ถ้าทีปัญหาเรื่องน้ำตาลแลกโตส อาจต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อนมชนิดที่
ไม่มีแลกโตส แต่ถ้าอยากได้วิตามิน และสารที่ใช้เสริมเพิ่มเติม ก็ต้องเลือกชนิดที่ผู้ผลิตเติมเข้าไป ซึ่งราคาก็แพงขึ้นไปอีก แต่ผู้บริโภคไม่ต้อง
กังวลถ้าไม่ได้ดื่มผลิตภัณฑ์นมชนิดนั้น ๆ เพราะว่านมไม่ได้ให้สารอาหารทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ เราจำเป็นต้องกินอาหารอื่น ๆ ให้หลาก
หลายด้วย ส่วนผู้ที่ดื่มนมไม่ได้ หรือไม่ชอบดื่มนม หรือดื่มนมแล้วไม่สบายท้อง อาจกินอาหารอื่นแทนเพื่อให้ได้แคลเซียม เช่น ปลาตัวเล็ก
ทอดกรอบ ปลากระป๋อง ผักใบเขียวเข้ม หรือเต้าหู้แข็ง เป็นต้น

( อาจารย์กันยา สุวรรณคีรีขันธ์ : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ )
ที่มา http://flash-mini.com/freeweb/index.php?user_id=oooaaabb111959&page=6875"

กินอะไรให้นัยน์ตาสวย


กินอะไรให้นัยน์ตาสวย


สาเหตุหนึ่งที่ร่างกายมีปัญหาที่ตาก็คือ ร่างกายได้รับไวตามินเอไม่เพียงพอ แต่ถ้าขาดมาก ๆ จะมีอาการดังนี้

กลัวแสง
เวลาไปอยู่ในที่ที่มีแสงสว่างจ้าหรือกลางแดด จะตาหยีและแสบตามาก ปรับสายตาให้ชินกับความมืดได้ช้าต่างกับคนอื่นที่สามารถปรับสายตาได้เร็วกว่า

ถ้าขาดรุนแรง
ตาขาวจะมีลักษณะที่ชาวบ้านเรียกว่า เกล็ดกะดี่ (bitot spot) และต่อมาตาจะบอด นอกจากจะแสบตาเก่งแล้ว ยังสู้สายตาคนไม่ค่อยได้ ดูโทรทัศน์ไม่นานก็เมื่อยตา ขับรถในเวลากลางคืนก็มองไม่ถนัด สุขภาพตาที่ไม่ดีนั้น จะทำให้ตาไม่แข็งแรง ติดเชื้อได้ง่ายอักเสบง่าย คนธรรมดานั้นตื่นเช้าไม่มีขี้ตา แต่บางคนตื่นเช้าก็มีขี้ตาเล็ก ๆ น้อย ทุกวัน โดยไม่มีอาการตาเจ็บหรืออักเสบใด ๆ แสดงถึงสุขภาพที่ไม่สมบูรณ์ของนัยน์ตา

นัยน์ตาสวย ทำได้ดังนี้
รับประทานไวตามิน เอ วันละ 1 แคปซูล (ขนาด 25,000 ยูนิต) สองสัปดาห์ แล้วกินวันเว้นวัน
รับประทานไวตามิน อี 100 ยูนิต วันละ 2 ครั้ง
รับประทานไวตามินบี 2 วันละ 200มิลลิกรัม
ประมาณ 3 - 4 เดือน

ข้อสำคัญ
ควรกินไวตามินพร้อมอาหารเพื่อให้สิ่งที่อยู่ในอาหารช่วยในการดูดซึมของไวตามิน

ที่มา :http://www.horapa.com/content.php?Category=Healthy&No=1020%3E%3Cspan%20

เกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับเห็ด



เกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับเห็ด


เห็ดกินดีมีประโยชน์ เห็ดอุดด้วยโพแทสเซียมที่ร่างกายต้องการ ถึงแม้เห็ดจะมีแคลอรี่ต่ำ แต่หากนำไปผัดหรือทอดก็จะให้พลังงานที่สูงมาก เห็ดหาซื้อง่าย ราคาไม่แพงจนเกินไปนัก เห็ดที่นิยมรับประทานส่วนใหญ่จะนำมาใช้ผัดและต้ม เห็ดแต่ละชนิดมีรสและความอร่อยเฉพาะตัว

เห็ดโคน
จะออกปีละครั้ง เฉพาะหน้าฝน นำมาปอกล้างให้สะอาด เคล้ากับเกลือแล้วนำไปต้มพร้อมเครื่องต้มยำ หรือนำมายำก็อร่อยแล้ว

เห็ดฟาง
มีรับประทานแทบทุกฤดู นิยมนำมาผัด ต้ม และยำ

เห็ดเข็มทอง
มีสีขาวลักษณะคล้ายเข็ม เมื่อสดมีรสหวาน กลมกล่อม

เห็ดนางรม
มีกลิ่นรสคล้ายเนื้อปลา เนื้อค่อนข้างเหนียว ต้องทำให้สุกก่อนนำมารับประทาน

เห็ดเผาะ
มีมากในฤดูฝน มีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆสีน้ำตาลเข้ม ภายในมีสปอร์สีขาวเมื่อยังอ่อนอยู่

เห็ดหอม
พืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง มีกลิ่นหอมทานอร่อย นิยมนำมาขายในรูปตากแห้ง ซึ่งจะมีรสเข้มข้นกว่าเมื่อตอนยังสด นำมาล้างน้ำให้สะอาดก่อน จากนั้นแช่นน้ำร้อนให้พองตัว น้ำที่ใช้แช่นั้นสามารถนำมาปรุงเป็นน้ำแกงได้ด้วย

ที่มา: http://www.horapa.com/content.php?Category=Healthy&No=229"

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กินถั่วลดไขมันในเลือด


กินถั่วลดไขมันในเลือด


อาหารมีส่วนมากที่จะทำให้คนมีอายุยืนหรืออายุสั้น สถิติของวิทยุบีบีซีบอกว่าอายุเฉลี่ยของผู้ชายไทย 66 ปี ผู้หญิงไทยอายุเฉลี่ย 74 ปี น่าสังเกตว่าผู้ชายไทยใช้ชีวิตเปลืองมาก อาจรวมการตายจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ ที่ผู้ชายใช้มากกว่าผู้หญิง และขับท้ามฤตยูมากกว่าผู้หญิงก็ได้ ลองสังเกตร้านอาหารในช่วงเวลาเย็นหลังเลิกงาน มองเข้าไปร้านไหน ๆ ก็มีแต่ผู้ชายกินเหล้ากันเต็ม ผู้หญิงทำงานนอกบ้านเท่ากัน แต่เลิกงานรีบกลับบ้านไปดูแลลูก ทำกับข้าวให้คนทั้งบ้านกิน และผู้หญิงส่วนมากไม่ดื่มเหล้า
ถึงผู้หญิงจะมีอายุยืนมากกว่าผู้ชายมาก แต่ที่น่ากลัวคือ มีผู้หญิงอ้วนมากขึ้น และเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจมากขึ้น มีอาการหนักถึงขั้นเส้นเลือดแตก จนเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ไปครึ่งตัว ช่วยตัวเองไม่ได้ เดินไม่ได้ จะกินอาหาร จะนอน จะขับถ่าย ต้องมีคนช่วยจับยกร่างกาย หลายคนคิดว่าถ้าต้องเป็นอย่างนั้น ตายเสียดีกว่า แต่จะตายเองก็ตายไม่ได้เสียด้วย

อาหารกำหนดความแข็งแรงหรืออ่อนแอได้มาก พร้อมๆกับการออกกำลังกาย การได้รับอากาศบริสุทธิ์ ดูคนมีอายุเกินร้อย ไม่มีคนไหนที่อ้วน สมัยก่อนคนไทยไม่กินอาหารมัน ไขมันที่ใช้มีแต่กะทิ และส่วนมากอาหารไทยไม่ใส่กะทิ เพราะการจะปอกมะพร้าว ขูดมะพร้าว คั้นกะทิเป็นเรื่องยุ่งยาก สมัยนี้เปิดกล่องเทออกมาก็ได้กะทิ น้ำมันก็มีอยู่ในขวดข้างเตาที่ทำอาหาร คนกินแกงกะทิ กินอาหารทอด อาหารผัดมากขึ้น มีคนอ้วนมากขึ้น

ไขมันในถั่วเมล็ดแห้งเป็นไขมันที่ดี ไม่เกาะเส้นเลือด ช่วยลดโคเลสเตอรอลที่เป็นตัวการทำให้เส้นเลือดตีบ ไม่ต้องห่วงโคเลสเตอรอลในอาหาร ถ้าอาหารมาจากพืชจะไม่มีโคเลสเตอรอล อาหารที่มาจากสัตว์มีโคเลสเตอรอลมากบ้างน้อยบ้าง แต่ไขมันในถั่ว เช่นถั่วลิสง ถั่วเหลือง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วปากอ้า เป็นไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดที่มีประโยชน์ ที่เดี๋ยวนี้พูดกันสั้น ๆ ว่าโอเมก้า 3 ความจริงเป็นกรดไขมันที่แตกตัวได้ง่าย ที่ตำแหน่งที่ 3 จากท้ายสุดของโมเลกุล กินกรดไขมันพวกนี้แล้วร่างกายไม่สะสมโคเลสเตอรอลจึงแนะนำกันให้กินถั่วแทนเนื้อสัตว์ในบางมื้อ

ถั่วเมล็ดแห้งมีไขมันอยู่มาก กินแล้วอิ่มทน มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตด้วย จึงเป็นอาหารที่ให้สารอาหารหลายชนิด คนที่อายุยืนทั้งหลายมักจะให้สัมภาษณ์ว่า กินถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ อาจจะกินเป็นเม็ด กินเป็นเต้าหู้ หรือกินถั่วอบกรอบ ฝรั่งกินขนมปังกับเนยถั่วเป็นอาหารหลัก เนยถั่วทำจากถั่วลิสงบดจนเนียนนุ่ม ปรุงรสเค็มเล็กน้อย ทาขนมปังกินได้เร็วเป็นอาหารเช้าหรืออาหารว่าง อิ่มทน อร่อยและมีประโยชน์ เด็กฝรั่งกินเนยถั่วเป็นอาหารว่างประจำวัน เลิกโรงเรียนมา ทาเนยถั่วบนขนมปัง ถ้าชอบหวาน ทาแยมทับอีกทีหนึ่ง อิ่มถึงมื้อต่อไป เหมาะสำหรับเด็กนักเรียนและวัยรุ่น เป็นของว่างที่เด็กทำเองได้ง่ายๆ พ่อแม่ไม่ต้องเสียเวลาหาให้

คนไทยกินถั่วลิสงต้ม ถั่วทอด กระยาสารทเป็นอาหารว่างที่อิ่มทนและราคาไม่แพงกระยาสารทเป็นขนมที่อร่อยเท่ากับขนมแพง ๆ กินกับกล้วยไข่ จะได้สารอาหารเท่ากับกินข้าวทั้งมื้อ ต้องเลือกซื้อกระยาสารทที่มีถั่วมีงามาก ๆ บางทีได้แต่ข้าวกับน้ำเชื่อม กินแล้วอ้วนเร็วเท่า ๆ กับกินขนมหวาน เมื่อกินแล้วต้องอดอย่างอื่น ๆ ไม่ใช่กินข้าวจนอิ่มแล้วกินกระยาสารทเป็นขนม แบบนี้เพิ่มน้ำหนักแทนที่จะลดไขมันในเลือด

ถั่วลิสงอิ่มนานกว่ากินข้าว ในถั่วลิสงมีน้ำมันมากกว่าในเนื้อสัตว์หลายชนิด เมื่อเติมถั่วลิสงคั่วบดลงในก๋วยเตี๋ยวต้มยำ จะอิ่มมากกว่ากินก๋วยเตี๋ยวธรรมดา ถั่วเหลืองที่ใช้ทำเนื้อเทียมเป็นโปรตีนที่ดีมาก ส่วนมากจะไม่ทำเป็นอาหารกันเว้นแต่ในช่วงกินเจ ใช้ผสมเนื้อหมูบดผัดกะเพราได้อร่อย ราคาต้นทุนถูกลง มีประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิมผัดกะเพราหมูล้วน ๆ

กินถั่วอบ ถั่วคั่ว ถั่วทอด เป็นอาหารว่างทุกวัน ช่วยลดไขมันในเลือด ใช้เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้ดี ทำให้หิวอาหารน้อยลง กินอาหารอื่นๆน้อยลง ผู้จัดอาหารงานเลี้ยงมักจะมีถั่วทอดเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ถึงแม้ว่าอาหารจะมาช้า แขกยังไม่หิวมาก แขกอิ่มอาหารเร็ว ไม่เปลืองอาหารที่เลี้ยง

ถั่วลิสงเป็นเครื่องปรุงในน้ำแกงบางอย่าง ให้กลิ่นหอมและเพิ่มความข้น บางคนแพ้ถั่วลิสง ในต่างประเทศต้องระบุในรายการอาหารอย่างชัดเจน ถ้าอาหารรายการใดมีถั่วลิสงเป็นส่วนประกอบ คงจำกันได้เมื่อมีข่าวสาวตายเพราะจูบหนุ่มที่เพิ่งกินเนยถั่วมา สาวแพ้ถั่วอย่างรุนแรง เพียงถั่วที่ค้างอยู่ในปากหนุ่ม ทำให้สาวถึงตายได้

ทารกแรกเกิดบางคนแพ้น้ำนมวัว ต้องดื่มนมที่ทำจากถั่วเหลืองแทน คนเรามีความชอบไม่ชอบ การแพ้ไม่แพ้แตกต่างกัน อาหารที่มีประโยชน์มากของคนหนึ่ง อาจเป็นอันตรายของอีกคน แพ้ถั่วอย่างหนึ่งอาจไม่แพ้อย่างอื่น ถึงอย่างไร ถ้าถั่วมีประโยชน์และราคาถูกกว่า ก็น่าจะกินให้มากขึ้น

การกินอาหารอย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้อายุยืน การออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญ ทุกวันต้องได้ทำกิจกรรมใช้แรงที่รู้สึกเหนื่อย อย่านั่งหรือยืนอยู่กับที่ เมื่อยกับเหนื่อยไม่เหมือนกันนั่งนาน ๆ ในท่าเดียวจะเมื่อย แต่นั่งเฉย ๆ ไม่เหนื่อย ต้องเดินเร็ว ๆ เดินนาน ๆ จึงจะเหนื่อย คนทำอาชีพขายของ นั่งหรือยืนอยู่กับที่ เดินบ้างแต่ไม่ใช่เดินให้เหนื่อย ไม่ได้ออกกำลังกาย อาหารที่กินจะสะสมเป็นไขมัน ทำให้อ้วนและเส้นเลือดตีบได้

การได้รับอากาศบริสุทธิ์สำคัญต่อสุขภาพ คนไม่สูบบุหรี่แต่อยู่กับคนสูบบุหรี่ มีโอกาสเป็นมะเร็งเท่าๆกับหรือมากกว่าคนที่สูบเอง ควันไฟอื่นๆทำให้เป็นมะเร็งได้เท่า ๆ กับควันบุหรี่ คนขายไก่ย่าง ทอดกล้วยแขก ผัดก๋วยเตี๋ยว ถ้าไม่มีเครื่องดูดควัน สูดควันเข้าไปทุกวันเป็นอันตราย คนเดินถนนที่มีรถติดตลอดเวลา เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเช่นเดียวกัน เมื่อกินอาหารถูกต้องแล้ว ยังต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หนีห่างจากอากาศเป็นพิษ จึงจะมีร่างกายแข็งแรง สนุกกับกิจกรรมต่าง ๆ ไม่น่าจะเป็นงานหรือเล่น

ที่มา :

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประโยชน์จากว่านหางจระเข้ ALOE VERA


สรรพคุณที่ได้รับการยอมรับแล้วจากการวิจัยจากสถาบันต่างๆ

* ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
* ช่วยต่อต้านและยับยั้งการขยายตัวของเซลมะเร็ง และ เชื้อไวรัส
* ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกันเชื้อโรค
* ช่วยการหล่อลื่นของกระดูกข้อต่อและช่วยเคลือบผนังลำไส้ใหญ่
* ช่วยเสริมระบบการย่อยอาหารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น( Metabolism) จึงมีการนำไปผสม ในเครื่องดื่ม หรือ อาหารบำรุงร่างกาย หลายตำรับ
* ช่วยกระตุ้นการก่อเกิดเซลใหม ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงมีการนำไปใช้ในการซ่อมแซม หรือส่วนที่สึกหรอภายในร่างกายด้วยการรับประทาน และ รักษาแผลจากน้ำร้อนลวก , ไฟไหม้ หรือ แผลจากโรคทางผิวหนัง เช่นโรคสะเก็ดเงิน และมีการนำไปใช้รักษาแผลของผู้ป่วยจากการฉายรังสีเอ็กซเรย์ ซึ่งได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ด้วยการทาภายนอก
* ช่วยให้การเกิดสภาวะการหลับลึก เป็นการพักผ่อนอย่างแท้จริง อันเนื่องมาจากการกระบวนการ ปรับสภาพการทำงาน ของระบบต่างๆ ในร่างกาย ให้เข้าสู่ภาวะที่สมดุล ด้วยปฏิกิริยาทางเคมีจากธรรมชาติในว่านหางจระเข้
* ช่วยเสริมในการรักษาผู้ป่วยเบาหวาน พบว่าสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีได้เป็นอย่างดี อันเนื่องมาจากขบวนการ เมตาบอริซึ่ม มีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยลดและยับยั้งการการเกิดบาดแผลเรื้อรัง รักษายากจนนำไปสู่การตัดอวัยวะ เช่น ขา
* มีการพบว่าว่านหางจระเข้ช่วยทำให้เส้นโลหิตในสมองมีความแข็งแรง และยืดหยุ่นได้ดี จึงมีส่วน ช่วยให้สามารถป้องกัน เส้นโลหิตในสมอง แตกได้
* ช่วยบำรุงผิวพรรณและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง พบว่าว่านหางจระเข้ ช่วยกระตุ้น Fibroblast ในการหลั่งสาร คอลลาเจน และ อีลาสติน ในการสร้างเซลเนื้อเยื่อใหม่และให้ความชุ่มชื้นยืดหยุ่นแก่เซลผิวหนังได้อย่างดี จึงมีการนำไปเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางราคาแพงหลายยี่ห้อ
* จากสรรพคุณอันมากมายในว่านหางจระเข้ จึงมีการนำเอามาวิจัยและพัฒนาสู่การรับใช้วิถีชีวิตของมนุษย์เราอย่างกว้างขวางในหลายวงการ เช่น การบริโภคเป็นอาหารบำรุงสุขภาพ ใช้ในวงการเครื่องสำอาง ในวงการแพทย์ และยังมีการวิจัยเพื่อนำมาใช้ในวงการทหารอีกด้วย
* ปัจจุบันว่านหางจระเข้ นับวันยิ่งได้รับการยอมรับจากในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน จีน อเมริกา อังกฤษ และประเทศ ในแถบยุโรป เนื่องจากการยอมรับในความปลอดภัย และคุณค่าอันแท้จริง ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งได้รับ มาจาก ธรรมชาติ

โรค และ สรรพคุณ

1. โรคกระเพาะอาหาร
ใช้เป็นยาบำรุงกระเพาะอาหารได้ดี ช่วยปรับการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้

2.โรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กตอนต้น
ช่วยในการสมานแผล ใช้รักษาแผลในอวัยวะย่อยอาหาร

3. ท้องผูก
ยางสีเหลืองที่ผิวใบมีสารอโลอิน กับสารอโลอีนิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาระบาย

4. ความดันโลหิตสูง
ช่วยให้หลอดเลือดอ่อนนุ่ม และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต

5. ความดันโลหิตต่ำ
ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้กระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกายดำเนินไปด้วยดี

6. ไข้หวัด
ระงับการขยายตัว และทำลายเชื้อไวรัสซึ่งเป็นสาเหตุของไข้หวัด

7. หอบหืด
ช่วยขจัดต้นเหตุของการแพ้ (ต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลา1-2 เดือน จึงจะเห็นผล)

8. เบาหวาน
ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญอาหาร ใช้เป็นยารักษาควบคู่ไปกับยาแผนปัจจุบันจะช่วยให้ยาออกฤทธิ์ได้ผลดีขึ้น

9. โรคตับอักเสบ
ช่วยสลายพิษในร่างกายได้ จึงช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของตับได้ดี

10. เมารถ- เมาเรือ
ช่วยระงับประสาทขจัดอาการอ่อนเพลีย ช่วยบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ

12. แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
ใช้ฆ่าเชื้อ ป้องกันอาการอักเสบและการติดเชื้อแทรกซ้อนได้ และยังกระตุ้นให้ผิวหนังกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เร็ว

13. ฮ่องกงฟุต
ช่วยทำลาย และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค บรรเทาอาการปวดและคันได้

14. ตาปลา
ช่วยให้ผิวส่วนที่หยาบกร้านอ่อนนุ่มขึ้น และกำจัดตาปลาได้

15. ปวดฟันและโรคเหงือก
ใช้แก้อักเสบ ป้องกันความเจ็บปวดเฉียบพลัน ลดอาการปวดฟันเนื่องจากฟันผุเป็นการชั่วคราว

16. ช่องปากอักเสบ
ว่านหางจระเข้สามารถฆ่าเชื้อโรคประเภท Steptococcus และเชื้อโรคอื่นๆได้ทำให้อาการอักเสบหายเร็วขึ้น

ที่มา http://www.gbigmall.com/neutral-v.php?gclid=CMb-nf255J8CFcVS6wodfwpOGw

แนะนำตัว

ชื่อ นางสาวศิริกานต์ กลิ่นกุหลาบ
อายุ 22 ปี
ภูมิลำเนา จังหวัดอุบลราชธานี
เรียน คณะ การท่องเที่ยวและการโรงแรม
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คติ ล้มแล้วลุกไปข้างหน้า ดีกว่าตั้งท่าแล้วเดินถอยหลัง

สัตว์เลี้ยงที่ชื่นชอบ สุนัข
อาหารที่ชอบ ส้มตำ ไก่ยาง ปลาเผา

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สมุนไพรที่ลำไส้ต้องการ


ทำงานเหนื่อยๆ ลำไส้ของเราก็อยากได้อาหารบำรุงเหมือนกัน และสมุนไพรทั้ง 6 ชนิด คือคำตอบที่กระเพราะและลำไส้ต้องการให้เราไปเสริมสุขภาพของมัน

ใบแมงลัก
น้ำมันหอมระเหยจากใบแมงลักเป็นยาช่วยย่อยชั้นเซียน ลำไส้ใครไม่ค่อยทำงานจนท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ ลองชิมใบแมงลักสักสี่ห้าใบแล้วจะติดใจ

พริกสด
ความเผ็ดซู่ซ่าของพริกคืออยากกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งน้ำลายออกมา จากเอนไซม์ของน้ำลายจะช่วยย่อยแป้งให้อ่อนตัวลง กระเพราะกับลำไส้จะได้ไม่ต้องทำงานโหลดจนเกินไป

ใบกะเพรา
ถึงชื่อเสียงของกะเพราจะมืดมนไปมาก ตั้งแต่ผัดกะเพราถูกตั้งชื่อว่า ผักสิ้นคิด แต่สรรพคุณของมันยังแจ่มเหมือนเดิม โดยเฉพาะสรรพคุณในการขับน้ำดีในกระเพราะอาหาร มันช่วยย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป

ตะไคร้
ให้เคี้ยวเดี๋ยวกินยากไปหน่อย แต่ถ้าทำเป็นชาตะไคร้ หรือซอยบางๆกินกับยำ คงไม่ลำบากมากเกินไปสำหรับคนรักสุขภาพ สรรพคุณของตะไคร้ดีไม่แพ้ใบกะเพรา คือ ช่วยขับน้ำดีออกมาย่อยอาหารเหมือนกัน สาวๆที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อยไม่ควรพลาด

กระเทียม
มีสูตรเด็ดเคล็ดลับสำหรับคนที่มีอาการอาหารไม่ย่อยมาฝาก ให้เอากระเทียม 5 กลีบ แล้วสับละเอียด กินทันทีหลังอาหาร กระเทียมจะช่วยกระตุ้นให้กระเพราะอาหารจอมขี้เกียจของคุณยอมย่อยอาหารมื้อนั้นแต่โดยดี ถ้ากินทุกวันไม่นานอาการไม่ย่อยก็จะหายไปเอง


ที่มา จากhttp://herbal.muasua.com.html/